ในที่สุด“ขบวนการก่อการร้าย” ซึ่งนำโดย “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ก็เผยธาตุแท้ที่ต้องการ “เผาบ้านเผาเมือง” ออกมาชัดเจน ภายหลังแกนนำอย่าง “นายจตุพร พรหมพันธุ์” และ “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ประกาศสลายการชุมนุมในวันที่ 19 พ.ค.53 แต่มิอาจหยุดยั้งความกราดเกรี้ยวและโง่งมงายที่ถูกปลุกมาเป็นเวลากว่า 2 เดือน กระทั่งนำไปสู่การก่อจลาจล เผาบ้านเผาเมือง สร้างความพินาศฉิบหายให้กับประเทศไทย
ทั้งนี้ หลังสลายการชุมนุมเจ้าหน้าที่สามารถตรวจพบอาวุธสงครามที่ม็อบเสื้อแดงส้อง สุมไว้ในที่ชุมนุมจำนวนมากมาย แสดงให้เห็นว่าขณะที่แกนนำพล่ามต่อหน้าสื่อว่า “สงบ สันติ อหิงสา” แต่ในที่ชุมนุมกลับมี “กองกำลังติดอาวุธ” ที่พร้อมจะห้ำหั่นฝ่ายตรงข้ามหรือแม้แต่พวกเดียวกันเอง เพื่อสร้างสถานการณ์ ให้รุนแรงมากขึ้น ที่สำคัญ “ผู้สั่งการ” ก็เร่งเดินเกมผลักดันให้เกิดขบวนการก่อการร้ายเต็มรูปแบบ โดยเขามีทั้ง “สื่อมวลชน” ที่สามารถชี้นิ้วให้นำเสนอข่าวให้ไปในทิศทางที่ตนเองต้องการ มีกลุ่มทุนที่พร้อมจะจ่ายเงินเพื่อหล่อเลี้ยงให้ม็อบสามารถปักหลักอย่างยาว นาน อีกทั้งยังมีบริษัทล็อบบี้ยิสต์ชั้นนำระดับโลกอย่าง “อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟ(Amsterdam & Peroff)” ที่ช่วยขยายสถานการณ์ให้ไปสู่เวทีระดับโลก
บทวิเคราะห์ชื่อ “กลุ่มเสื้อดำทอดเงาทะมึนเหนือการประท้วง” ซึ่งเขียนโดย จิม ทอมป์สัน ผู้สือข่าว”ไฟแนนซ์เชี่ยล ไทมส์” ระบุชัดเจนว่า “ในขณะที่เมืองไทยกำลังเผชิญภาวะสงครามต่างสี ได้ปรากฎ “กลุ่มคนเสื้อดำ” ซึ่งเป็นกองกำลังเงาที่ใช้ความรุนแรง คนกลุ่มนี้มีอาวุธปืน และเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นปีกขวาของ นปช.ที่อ้างว่าชุมนุมอย่างสันติ”
รายงานชิ้นนี้ระบุด้วยว่า แม้คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ที่จะต่อสู้กับทหารด้วยหนังสติ๊ก ระเบิดทำเองและระเบิดขวด แต่ก็มีหลักฐานชัดเจนว่ามีกองกำลังติดอาวุธที่อาจจะอยู่หรือไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของแกนนำเสื้อแดงแฝงตัวอยู่ด้วย ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นชายเมายาที่ผสมจากเทสโตสเตอโรนและยาบ้าต่างคุยโอ้อวด รองเท้าดำ กางเกงดำและเสื้อยืดสีดำที่พวกเขาสวมใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวที่มีโลโก้ของบริษัทปืน อาทิ Glock หรือ Heckler & Koch
**ปฏิบัติการเผาทั้งเมือง
ภายหลังปฎิบัติการณ์กระชับวงล้อมของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)ในช่วงเช้าตรู่วันที่ 18 พฤษภาคม กลุ่มโจรเสื้อแดงได้ใช้วิธีการตอบโต้กลับ โดยเปิดฉาก ก่อกวน- ปลุกปั่น- วางเพลิง ตามแผนปฎิบัติการณ์ “เผาทั้งเมือง” ที่ได้เตรียมการเอาไว้อย่างดี ทั้งการจัดวางกำลังคน และการสั่งการ อย่างที่ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างประเทศ ว่าหากมีการกระชับพื้นที่ กลุ่มคนเสื้อแดงก็จะต้องเผาห้างเพื่อรักษาตัวรอด โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานคำพูดว่าพวกเขาจะบุกรุกห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายแห่งและตึกสำนักงาน เช่น บริษัทฟิลลิป มอร์ริส ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ข้ามชาติ
“กองโจรเสื้อแดง” เปิดฉากเผาเมือง จุดแรกที่ย่านพระราม 4 พร้อมทั้งมีการ จุดไฟเผายางรถยนต์เพื่อ “พรางตัว” ก่อนที่จะเริ่มต้นวางเพลิง จนเกิดไฟไหม้ลุกลามไปทั่วทำลายอาคารบ้านเรือน ธนาคาร ร้านค้าในละแวกนั้น จากนั้นเริ่มมีการยิงปะทะกันอย่างตึงเครียดที่บ่อนไก่- ราชประสงค์ -และชุมชนคลองเตยลุกฮือขึ้น ตามติดมาด้วยการ ยึดรถเมล์ เผา และมีระเบิด เอ็ม 79 ยิงถล่มทหารอย่างต่อเนื่องในแต่ละจุด ไล่ทุกจุด ทั้งแต่ สามย่าน – แยกสารสิน และความบ้าคลั่งของเดนตายแดง มาถึงจุดพีคสุดๆ เมื่อแกนนำประกาศยุติการชุมนุม ในเวลา14.00 น. โดยบุกเข้าเผาเซ็นทรัล เวิล์ด – เผาแพลตตินั่ม -เผาสยามพารากอน -และเผาโรงหนังสยาม ให้อยู่กองเพลิง
ทั้งนี้ กลุ่มโจรเสื้อแดงประกาศเป็นการเคลื่อนไหวกองโจรอย่างอิสระ เป็นขบวนการโจรก่อการร้ายเต็มรูปแบบ ได้เดินหน้าปฏิบัติการอย่างบ้าคลั่ง -ดีเดือด นอกจากนั้นกลุ่มเสื้อแดงยังปฏิบัติการ “เผาแล้วปล้น” ตั้งแต่ร้านขายของชำ เซเว่นอีเลฟเว่น ร้านเหล้า ไปจนถึงร้านเพชร โดยเฉพาะห้างเซ็นเตอร์วันย่านอนุสาวรีย์ ได้มีกลุ่มวัยรุ่นกว่า 100 คนกรูเข้าไปทุบกระจกห้าง ขโมยปล้นสิ่งของในห้างดังกล่าว พร้อมกับจุดไฟวางเพลิง ขว้างระเบิดขวด รวมถึงมีการทุบตู้เอทีเอ็มเพราะหวังเงินในตู้ด้วย
ซึ่งนับเป็นปฏิบัติการเย้ยฟ้าท้ากฎหมายอย่างอุกอาจ
“เมืองกรุง” จึงลุกเป็นไฟ เกิดมิคสัญญีทั่วเมืองลุกลามไปทั่วทุกพื้นที่
ทั้งนี้ ได้มีการสรุปเหตุ ‘เพลิงไหม้ ‘ ที่เกิดจากการเผาทำลายของกลุ่มเสื้อแดง ในกรุงเทพมหานครว่ามีทั้งสิ้นถึง 35 จุด โดย มีเพลิงไหม้ที่ธนาคาร 17 สาขา ห้างสรรพสินค้า 3 แห่ง คือ เซ็นทรัลเวิลด์ , เซ็นเตอร์วัน ย่านอนุสาวรีย์ และห้างบิ๊กซี ราชดำริ นอกจากนั้นยังมีการเผาเซเว่นอีเวฟเว่น และอาคารบ้านเรือนประชาชนด้วย
**เปลือยแผน “สึนามิ” เผาแล้วปล้น
‘เจ๊ ด.’ ส่งเดนตายลงมือ
ทั้งนี้หากส่องแผนปฎิบัติการอุกอาจเผาบ้าน ปล้นเมือง ดังกล่าว ล้วนมีที่มา ที่ไป ในการวางแผน และก่อกวนวางเพลิงอย่างมีการวางแผน อย่างมีขั้นตอนตามการปฎิบัติงานตามแผน “สึนามิ” โดยมีการเตรียมการ เตรียมคน ไว้เผาอย่างดิบดี โดยเฉพาะวัยรุ่นเลือดร้อนทั้งหลายที่ถููกเพาะเชื้อแดงเถื่อนด้วยความเกลียดชัง
โดยมีข้อมูลที่ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนว่า “มือเผา” บางกลุ่มเป็นแก๊งวัยรุ่นย่านรัชดา โดยหัวหน้าแก๊งดังกล่าวเป็นวัยรุ่นชายที่มีความใกล้ชิดกับ “วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง” ในสายคลองเตย โดยได้รับคำสั่งตรงให้ปฏิบัติการงานการเผาเป็นหลัก มีหน้าที่ “เผา-ดะ” ในทุกพื้นที่
นอกจากนี้ กลุ่มวัยรุ่น “มือเผา” บางส่วนยังมีได้รับคำสั่งสายตรงจาก “เจ๊ ด.” ที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดง โดย “เจ๊ ด.” ได้เรียกใช้วัยรุ่นกลุ่มนี้ทำงานในมุมมืดมาอย่างต่อเนื่องในช่วงระหว่างการ ชุมนุม
กลุ่มวัยรุ่นแดงดีเดือดเหล่านี้ เป็นมือเผา ที่ทำงานสายตรง โดยได้รับเลื่อนชั้นมาจากหน่วยที่เคยสังกัดการ์ด นปช. ที่ส่วนใหญ่มีสายสัมพันธ์มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน กับกลุ่มแก๊งมอเตอร์ไซค์รับจ้างส่วนใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่คลองเตย
โดยมีกระบวนการจัดตั้ง บรรดาหนุ่มฉกรรจ์ หน่วยก้านดี มีฝีมือ “เดนตาย” เหล่านี้เอาไว้อย่างพร้อมเพรียง และหน่วยนี้เตรียมตัวล่วงหน้า พร้อมเผาทุกโอกาส
นอกจากนี้ อีกหนึ่งบุคคลที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอดก็คือ “ครู ป.” ที่เคยได้รับรางวัลระดับโลกจากฟิลิปปินส์ แต่ตอนหลังติดกับดักเรื่อง “เงินทอง” ของนายใหญ่ที่ถ่ายโอนเข้ามาสู่กระเป๋าสม่ำเสมอ จนทำให้เป็นข้าทาสบริวารที่จงรักภักดี และเป็นหนึ่งในผู้จัดหาเดนนรกติดยามาป่วนบ้านป่วนเมือง
**อายัดบัญชี 151 ราย เครือข่าย ‘แม้ว’
จากการที่ ศอฉ.ประกาศขึ้นบัญชีดำบุคคลและนิติบุคคลถึง 3 รอบ รวม 151 ราย โดยสั่งห้ามมิให้ทำนิติกรรมทางการเงินเพื่อเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงที่อาจจะส่งต่อมายัง นปช.(แนวร่วมเพื่อประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) ที่ยึดย่านราชประสงค์ ศูนย์การค้าใจกลางเมือง เป็นแหล่งชุมนุมและส่องสุมอาวุธนั้น จากการตรวจสอบพบว่าบุคคลและนิติบุคคลดังกล่าวล้วนแล้วแต่มีสายสัมพันธ์โยงใย เป็นเครือข่ายของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ‘นายใหญ่ของไพร่แดง’ ซึ่งเป็นผู้บงการให้เผาบ้านเผาเมือง หากไพร่แดงพ่ายแพ้ในสงครามมวลชนโค่นรัฐในครั้งนี้
สำหรับบริษัทนิติบุคคลที่ถูกขึ้นบัญชี มี 20 บริษัท โดย พบว่าส่วนใหญ่เป็นธุรกิจในเครือชินวัตร อาทิ 1) บริษัททุนนวัตกรรม จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจลงทุนในต่างประเทศ มี น.ส.พิณทองทา กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นถือหุ้นรายใหญ่ โดยถือหุ้นคนละ 28.1% และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ถือหุ้น 18.7% 2) บริษัทประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และบริการสาธารณูปโภค ทุนจดทะเบียน 3,340 ล้านบาท มีตระกูลชิวัตรเป็นผู้ถือหุ้น โดย น.ส. น.ส.พิณทองทา กับ น.ส.แพทองธาร ถือหุ้นคนละ 49.8% ทักษิณ 0.14% และนางพจมาน 0.14% 3) บริษัทนิวโอ๊ค จำกัด ประกอบกิจการร้านถ่ายรูป She@mood ที่สยามสแควร์ มีนายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นผู้ถือหุ้น 100% 4) บริษัท เวิร์ธซัพพลายส์ จำกัด ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทุนจดทะเบียน 4,600 ล้านบาท มีครอบครัวของ นช.ทักษิณเป็นผู้ถือหุ้น โดย น.ส.พิณทองทา ถือหุ้น 51.2% นายพานมองแท้ 43.4% น.ส.แพทองธาร 3% และนางพจมาน ดามาพงศ์ 2.1%
นอกจากนั้นยังมีอีก 2 บริษัทที่เป็นของ นายชาญชัย รวยรุ่งเรือง หรือ นายเหยียน ปิน นักธุรกิจชาวจีนที่แปลงสัญชาติเป็น ไทย คือ บริษัทรวยชัย อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป บริการให้เช่าห้องพัก และบริษัทรวยชัย อินเตอร์เนชั่น กรุ๊ป จำกัด ทำธุรกิจส่งออกสินค้าเกษตร โดยนายเหยียน ปิน นั้นมีความสนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณมาตั้งแต่ตอนที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี และดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เขาเป็นนายหน้าเจรจาซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป ให้กับไชนา เทเลคอมฯ และมักอ้างว่าเขาเป็นประธานสาขาพรรคไทยรักไทย ประจำกรุงปักกิ่ง อีกทั้งมีผู้ใหญ่ของพรรคไทยรักไทยเดินทางไปมาหาสู่นายเหยียน ปิง ที่ประเทศจีนเป็นประจำ แม้กระทั่งกระทรวงต่างประเทศยังต้องย้ายแผนกวีซ่าจากเดิมที่อยู่ในอาคารสถาน เอกอัคราชทูตไทย ในกรุงปักกิ่ง ไปอยู่ในตึกของนายเหยียนปินโดยต้องจ่ายค่าเช่าปีละนับสิบล้านบาท
**ใบหยก-ป.ประตูน้ำ-เจ๊เกียว มีเอี่ยวด้วย
ขณะที่บุคคลที่ถูกขึ้นบัญชีมีนั้นมี 131 ราย ซึ่งก็เป็นเครือข่ายคนใกล้ชิดของ นช.ทักษิณ เช่นกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1)กลุ่มตระกูลชินวัตรและคนใกล้ชิดของ นช.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เช่น ทักษิณ ชินวัตร ,พจมาน ดามาพงศ์ , นางกาญจนภา หงษ์เหิน อดีตเลขานุการคุณหญิงพจมาน์ , นายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช เป็นคนถือเงินของตระกูลชินวัตร ได้รับมอบหมายจากทักษิณให้ดูแลเรื่องเงินทองและค่าใช้จ่ายของ ส.ส.ในพรรค ตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นพรรคไทยรักไทยมาจนถึงพรรคเพื่อไทย โดยในการชุมนุมเสื้อแดงครั้งนี้สาโรจน์มาปรากฎตัวที่หลังเวทีเกือบทุกวัน
2)กลุ่ม นปช. อาทิ ณัฐวุฒิใสเกื้อ, วีระ มุสิกพงศ์ ,จตุพร พรหมพันธุ์
3)กลุ่มนักการเมือง 40 คน เช่น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ , สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ , พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล , การุณ โหสกุล , พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ,ปลอดประสพ สุรัสวดี
4)กลุ่มข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ ที่มีความใกล้ชิดทักษิณ เช่น พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี , พล.ท.พฤณฑ์ สุวรรณทัต ,พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง
5)กลุ่มนักธุรกิจ อาทิ- นายพันธ์เลิศ ใบหยก ประธานกรรมการโรงแรมเครือใบหยก และเจ้าของโครงการอาคารพาณิชย์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย ใบหยก 1 และใบหยก 2 นอกจากนั้นยังมีธุรกิจอีกหลายย่าง เช่น กิจการโรงน้ำแข็งที่ระนอง กิจการโรงเก็บของที่ถนนตก เขาเคยเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย และดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรค แต่ลาออกก่อนที่จะมีคำสั่งยุบพรรค จึงไม่ได้เป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111
– นายสมหวัง อัสราศี ประธานบริษัท สแกนเนอร์ อิเลคทริค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อมิตซูชิต้า นักธุรกิจที่เปิดตัวชัดเจนว่าเป็นสปอนเซอร์ที่ให้การสนับสนุนกลุ่มเสื้อแดง และยังเคยเป็นพิธีกรเสริมในรายการ ‘ความจริงวันนี้’ ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวี ‘ดี-สเตชั่น’ อีกด้วย
– นาย สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ เจ้าของห้างอิมพีเรียล ซึ่งใช้เป็นสถานีของพีทีวี เคเบิ้ลทีวีของคนเสื้อแดง อีกทั้งเขายังเป็น ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นทุนหลักในการเคลื่อนไหวของกลุ่มปากน้ำ และนำผู้ใช้แรงงานในพื้นที่สมุทรปราการมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง
– นายไพจิตร ธรรมโรจน์พินิจ หรือ ‘ปอ ประตูน้ำ’ เจ้าของบ่อนชื่อดังย่านประตูน้ำ มีความสนิทสนมกับเสธ.แดง ถึงขั้นที่เสธ.แดงออกโรงปกป้องตอนที่บ่อน ป.ประตูน้ำถูกบุกจับ โดยออกมาสัมภาษณ์โจมตี พล.ต.อ.เสีรีพิสุจน์ เตมียเวช จเรตำรวจในขณะนั้นซึ่งเป็นผู้สั่งให้ชุดเฉพาะกิจบุกจับบ่อนดังกล่าว จนถูก พล.ต.เสรีพิสุจน์ฟ้องหมิ่นประมาทและเป็นศรัตรูกันมานับแต่นั้น
– นางสุจินดา เชิดชัย หรือ ‘เจ๊เกียว’ เจ้าของเชิดชัยทัวร์ นักธุรกิจใหญ่ในโคราชที่ประกาศตัวว่าหนุนทักษิณอย่างเต็มที่ นอกจากจะเป็นทุนใหญ่ในสายอีสานแล้วยังส่ง อัสนี เชิดชัย ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เข้าเป็น ส.ส.สัดส่วนของพรรคเพื่อไทยด้วย ว่ากันว่าเสื้อแดงโคราชที่ใช้ชื่อว่ากลุ่มรักประชาธิปไตยโคราช ซึ่งมีนางปภัชนัญญ์ ฉิ่งอินทร์ เป็นแกนนำนั้น ก็อยู่ภายใต้การดูแลของเจ๊เกียว
-นายไพวงษ์ เตชะณรงค์ เจ้าของโบนันซ่าเขาใหญ่ นักธุรกิจการเมืองที่มีสายสัมพันธ์กับนักการเมืองใหญ่หลายคน
-นายประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าของเนสกาแฟ ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับทักษิณมาอย่างยาวนาน
**เปิดเส้นทางท่อน้ำเลี้ยง
ทั้งนี้ นอกจากกลุ่มทุนที่ช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนไหวของม็อบไพร่แดงแล้ว คนที่จ่ายหนักที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘นายใหญ่แห่งดูไบ’ ซึ่งจากข่าวของฝ่ายความมั่นคง ระบุว่า ท่อน้ำเลี้ยงที่ นช.ทักษิณ ต่อสายมาให้บรรดาแกนนำ นปช.และเครือข่ายนำไปใช้ในการเคลื่อนไหวในการชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองครั้งนี้ มี 3 ระบบ ด้วยกัน คือ 1.ใช้ระบบเครดิต คือให้แกนนำสำรองจ่ายไปก่อน แล้วค่อยนำบิลเบิกทีหลัง 2 .ระบบเงินเสิร์ฟ คือโอนเงินสดหรือเช็คผ่านบัญชีธนาคารมายังแกนนำ โดยทำทีว่าเป็นเงินที่ได้จากการทำธุรกิจ แต่จริงๆแล้วเป็นการฟอกเงิน และ 3.ให้คนถือเงินสดมาให้แกนนำ
“ ระบบ เงินเสิร์ฟ มันก็คือการฟอกเงินอย่างหนึ่ง อย่างเช่น เมื่อเร็วๆนี้ก็มีการว่าจ้างให้ พันตำรวจเอก ส. ทำงานรับเหมาก่อสร้าง ในราคาที่สูงเกินจริง เพื่อให้ พันตำรวจเอก ส.นำเงินมาจ่ายให้กับกองกำลังติดอาวุธ หรืออีกเคสหนึ่งเครือข่ายของคุณทักษิณเขาก็ไปซื้อขายหุ้นเบียร์ ช้างในตลาด หลักทรัพย์สิงคโปร์ ก็ซื้อขายกันในลักษณะปกติ แต่คนซื้อกับคนขายเขารู้กัน ตั้งราคาซื้อขายสูงเกิน เพื่อให้เกิดกำไรส่วนต่างเยอะๆ แล้วก็เอาเงินมาจ้างคนมาชุมนุม
6)ส่วนการถือเงินสดมาจ่ายให้แกนนำก็จะมีทั้งทำในลักษณะกองทัพมด คือให้ลิ่วล้อขนเงินจากบ่อนชายแดนเขมรมาส่งให้ ซึ่งวิธีนี้จะขนเข้ามาได้ครั้งละไม่มาก ครั้งละไม่กี่ล้าน แต่ขนเข้ามาบ่อยครั้ง หรืออีกวิธีก็คือคุณทักษิณโอนให้เครือข่ายที่อยู่ในเมืองไทย แล้วให้เครือข่ายถือเงินสดมาให้แกนนำ ” แหล่งข่าวด้านความมั่นคง เปิดเผยถึงเส้นทางการเงินที่กลุ่มเสื้อแดงนำมาใช้เคลื่อนไหวในการชุมนุม
**“เครือมติชน-สื่อ”แนวร่วมผสมโรงบิดเบือน
น่าเศร้าสลดใจเป็นอย่างยิ่งหากจะระบุว่าความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ความเดือดร้อนลุกลามไปทุกหย่อมหญ้าอยู่ในวันนี้ ส่วนสำคัญปฏิเสธไม่ได้ก็คือมี “สื่อ” ร่วมผสมโรงทำให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงเพิ่มดีกรีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆและ ในที่สุดก็พัฒนากลายเป็นการ “ก่อการร้าย” เต็มรูปแบบ
น่าเสียใจก็คือสื่อในเครือ “มติชน” ซึ่งหมายรวมถึง หนังสือพิมพ์ข่าวสด ประชาชาติธุรกิจ ต่างพร้อมใจกันเสนอข่าวและภาพ สนับสนุนหรือแสดงความเห็นอกเห็นใจกลุ่มคนเสื้อแดง โดยมีการนำเสนอออกมาในลักษณะที่ว่านี่คือการชุมนุมโดยสงบสันติ เป็นการแสดงออกตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ
ไม่น่าเชื่อว่าสื่อที่ชอบเรียกตัวเองว่า “สื่อคุณภาพ” จะไร้เดียงสาถึงขนาดมองไม่ออกเลยหรือว่าการชุมนุมของกลุ่มคนพวกนี้มีวิธีการ และเป้าหมายอย่างไร ขณะเดียวกันหากพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่น่าเป็นไปได้แล้วก็ต้องมาประเมินกันว่า นี่คือความ “จงใจ” เป็น “แนวร่วม” ด้านสื่อเพื่อสร้างความสับสนบิดเบือน หรือทำให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงมีความชอบธรรม
น่าสังเกตก็คือลักษณะการนำเสนอของสื่อลักษณะแบบนี้ในเครือดังกล่าวได้ดำเนิน มาอย่างต่อเนื่อง หากยังจำกันได้ในช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตยเพื่อต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” ตั้งแต่ปี 2548 มาจนถึงปี 2551 สื่อดังกล่าวได้มีการบิดเบือน “ใส่ร้าย” อย่างไม่น่าให้อภัย โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ข่าวสดฉบับวันที่ 9 ตุลาคม 2551ได้ลงภาพข่าวใส่ร้าย “ตี๋ชิงชัย” หรือ ชิงชัย อุดมเจริญกิจว่า “กำระเบิด” ขณะที่ตำรวจสลายการชุมนุมในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 51ทั้งที่มีการพิสูจน์แล้วว่าเป็นแค่พวงกุญแจ รวมไปถึงกรณีบิดเบือนอื่นๆ
หากย้อนกลับไปพิจารณากรณี มติชนสุดสัปดาห์ 16 มิถุนายน 2549 ในยุคของ เสถียร จันทิมาธร ยังกุมบังเหียนได้เสนอรายงาน “พิเศษ” หยิบยกเอากรณีการโค่นล้ม “ราชวงศ์เนปาล” มาเป็นกรณีศึกษา ซึ่ง เสถียรก็คือ “สหายดวง” อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ที่มีความสนิทสนมกับ “สหายแพง”หรือ “สหายแผ้ว” ที่ปัจจุบันคือ จรัล ดิษฐาอภิชัย รวมทั้ง “สหายสุภาพ” จาตุรนต์ ฉายแสง นั่นแหละ และ นายเสถียร คนเดียวกันนี่แหละที่ ทักษิณ ชินวัตร ขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรีเคยเอ่ยปากชมว่ามีมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์อย่าง เฉียบคมโดยเฉพาะชื่นชอบงานเขียนคอลัมน์ในหน้า 3 ของมติชนรายวันระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2549
ล่าสุดเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา “เครือมติชน” ยังได้แสดงท่าทีเรียกร้องให้ทุกฝ่ายคือฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มแกนนำเสื้อแดงรวม ไปถึงองค์กรต่างๆในสังคมหาวิธีการเพื่อให้มีการหันหน้ามาเจรจาปรองดองกัน โดยมีหัวข้อ “หยุดฆ่าทันที” ซึ่งหากมองผิวเผินนี่คือเจตนาดีที่ต้องการให้เกิดสันติไม่ใช้ความรุนแรงให้ เกิดความสูญเสียต่อไปอีก แต่ถ้าพิจารณาอย่างเข้าใจแล้วนี่คือเจตนาที่ต้องการดิสเครดิสฝ่ายทหารและ รัฐบาลไม่ให้ปราบปรามผู้ก่อการร้ายซึ่งอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง ขณะเดียวกันในข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าเมื่อคนกลุ่มนี้เป็นผู้ก่อการร้าย แล้วจะไปเจรจาปรองดองทำไม
ท่าทีดังกล่าวที่บอกว่า “ต้องหยุดฆ่าทันที” นั้นที่เหมาะสมก็คือเครือมติชน “ต้องหยุดบิดเบือนทันที” มากกว่า !!
นอกจากนี้ในการเคลื่อนไหวก่อการร้ายของคนเสื้อแดงในครั้งนอกจากมี เครือมติชนที่มีบทบาทในลักษณะเป็นแนวร่วมแล้วยังมีสื่ออื่นๆที่เข้าข่าย เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสื่อ “ไทยรัฐ” หรือแม้แต่ ไทยทีวีสีช่อง 3 ที่เจ้าของเป็นอดีตกลุ่มทุนที่เคยสนับสนุนพรรคไทยรักไทย แต่กรณีหลังเกิดการ “ผิดคิว”อย่างไรไม่อาจทราบได้เพราะถูกคนเสื้อแดงบุกเผาและพนักงานหนีตายกัน โกลาหล !!
และทั้งหมดนั้นคือแนวร่วมของขบวนการเสื้อแดงที่เปิดเผยตัวตนมาให้เห็นกัน เรียบร้อยแล้ว
ที่มา
oknation.net/blog/psw2548/2010/05/22/entry-1
พฤษภาคม 22, 2010
หมวดหมู่: ลากใส้เครือข่ายแม้ว . ป้ายกำกับ:151 บัญชีดำ, ระดมพลสู้เส้อแดง, สู้เพื่อชาติ, เครือข่ายเสื้อแดง . ผู้เขียน: fightorwaittogetkill . Comments: 1 ความเห็น