คุณแน่มาก แน่จริงๆ

ผมขอคาระวะท่านเจ้าของรถยนตร์คันนี้ ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ผมขอคาระวะท่านด้วยใจจริงในความกล้าหาญของท่าน ท่านแน่กว่า ไอ้คางคก ไอ้ลิงบาบู ที่เค้าลือกันว่าไม่รู้ว่าพ่อคือใคร ที่ไม่สนใจว่าชาติจะย่อยยับแค่ไหน ขอให้ตูรวยเป็นพอ

 

หนึ่งคนยอมสละชีวิต   เพื่อปกป้องประเทศชาติ

แต่หลายคนกำลังทำลายชาติ เพื่อปกป้องคนหนึ่งคน

ถ้าใครเป็นโรคลืมง่าย โปรดดูใครสั่งเผาเมือง

แล้วท่านจะยังเลือกมันมาบริหารประเทศได้ยังไง

ถ้าโดนมือดีเข้ามาลบคลิบอีกเข้าไปดูได้ที่ Youtube http://www.youtube.com/watch?v=vBDm-jA3N80

 

 

โพสเตอร์หาเสียงของพรรคร-ย ํ ําา

ผมว่าจะไม่เขียนอะไรเพิ่มเติมในบล็อกนี้แล้ว เพื่อเห็นแก่แผนการปรองดอง ลดความขัดแย้ง แต่ที่ทนไม่ได้ต้องออกมาใหม่เพราะไอ้โฆษกพรรคจัญไรมันออกมาประกาศว่าจะมีการวางระเบิดรถใต้ดินในเดือน กันยายนนี้  ถามว่ามันออกมาประกาศทำไม หากมันไม่มีเจตนาก่อกวน  นี่ละครับตัวอย่างป้ายหาเสียงของมันในการเลือกตั้งสมัยหน้า

.

สมน้ำหน้ามันที่คนกรุงเทพไม่ลงคะแนนให้พรรคมันมากนักในการเลือกตั้ง สก. – สข. ที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีคนในกรุงเทพที่ยังเลือกมันตั้ง สก. ตั้งสิบห้าคน และมีอีกมากที่ลงคะแนนให้ผู้สมัครพรรคจัญไรจนหลายเขตมันตามมาติดๆห่างกันไม่กี่พันคะแนน  ทำยังไงถึงจะให้คนเหล่านี้เข้าใจ ความระยาาามของคนตระกูลนี้

เปิดใจคนทำมาหากินที่พวกเสื้อแดงรังแก

ถูกต้องอย่างที่สุดของผู้ที่ถูกรังแกอย่างไม่มีทางสู้

เธอไปเกี่ยวข้องอะไร ทำไมต้องมารังแกคนทำมาหากินเหมือนกัน คุณถือสิทธิอะไร

ทำไมไม่ไปเผาบ้านนักการเมืองด้วยกัน (ถึงแม้จะไม่ถูกต้องก็ตาม)

มันไอ้พวกขี้แพ้ชวนตี กูไม่ได้อยู่ในประเทศไทย พวกมึงก็อย่ามีความสุขเลย ( มันสัตว์นรกที่ไหนมาเกิด )

ชมแล้วจะทำอะไรต่อก็คิดกันเองครับ ผมไม่อยากจัดตั้งม็อบไปไล่เผาบ้านไอ้พวกสัตว์นรก แต่ถ้าบังเอิญฟ้าผ่าลงมาที่บ้านมัน หรือ พายุหอบเอาขวดเอ็ม 150 ใส่นำมันที่มีไฟกำลังลุกปลิวไปตกบ้านมัน หรือมีรถยนตร์แหกโค้งไปชนบ้านมันจนไฟลุกท่วมบ้าน ผมจะไม่ดีใจจนออกนอกหน้า

ลากไส้แก๊ง “แดงก่อการร้าย” ลอกคราบ 151 บัญชีดำ(แดงตัวพ่อ)

ในที่สุด“ขบวนการก่อการร้าย” ซึ่งนำโดย “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ก็เผยธาตุแท้ที่ต้องการ “เผาบ้านเผาเมือง” ออกมาชัดเจน ภายหลังแกนนำอย่าง “นายจตุพร พรหมพันธุ์” และ “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ประกาศสลายการชุมนุมในวันที่ 19 พ.ค.53 แต่มิอาจหยุดยั้งความกราดเกรี้ยวและโง่งมงายที่ถูกปลุกมาเป็นเวลากว่า 2 เดือน กระทั่งนำไปสู่การก่อจลาจล เผาบ้านเผาเมือง สร้างความพินาศฉิบหายให้กับประเทศไทย

ทั้งนี้ หลังสลายการชุมนุมเจ้าหน้าที่สามารถตรวจพบอาวุธสงครามที่ม็อบเสื้อแดงส้อง สุมไว้ในที่ชุมนุมจำนวนมากมาย แสดงให้เห็นว่าขณะที่แกนนำพล่ามต่อหน้าสื่อว่า “สงบ สันติ อหิงสา” แต่ในที่ชุมนุมกลับมี “กองกำลังติดอาวุธ” ที่พร้อมจะห้ำหั่นฝ่ายตรงข้ามหรือแม้แต่พวกเดียวกันเอง เพื่อสร้างสถานการณ์ ให้รุนแรงมากขึ้น ที่สำคัญ “ผู้สั่งการ” ก็เร่งเดินเกมผลักดันให้เกิดขบวนการก่อการร้ายเต็มรูปแบบ โดยเขามีทั้ง “สื่อมวลชน” ที่สามารถชี้นิ้วให้นำเสนอข่าวให้ไปในทิศทางที่ตนเองต้องการ มีกลุ่มทุนที่พร้อมจะจ่ายเงินเพื่อหล่อเลี้ยงให้ม็อบสามารถปักหลักอย่างยาว นาน อีกทั้งยังมีบริษัทล็อบบี้ยิสต์ชั้นนำระดับโลกอย่าง “อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟ(Amsterdam & Peroff)” ที่ช่วยขยายสถานการณ์ให้ไปสู่เวทีระดับโลก

บทวิเคราะห์ชื่อ “กลุ่มเสื้อดำทอดเงาทะมึนเหนือการประท้วง” ซึ่งเขียนโดย จิม ทอมป์สัน ผู้สือข่าว”ไฟแนนซ์เชี่ยล ไทมส์” ระบุชัดเจนว่า “ในขณะที่เมืองไทยกำลังเผชิญภาวะสงครามต่างสี ได้ปรากฎ “กลุ่มคนเสื้อดำ” ซึ่งเป็นกองกำลังเงาที่ใช้ความรุนแรง คนกลุ่มนี้มีอาวุธปืน และเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นปีกขวาของ นปช.ที่อ้างว่าชุมนุมอย่างสันติ”

รายงานชิ้นนี้ระบุด้วยว่า แม้คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ที่จะต่อสู้กับทหารด้วยหนังสติ๊ก ระเบิดทำเองและระเบิดขวด แต่ก็มีหลักฐานชัดเจนว่ามีกองกำลังติดอาวุธที่อาจจะอยู่หรือไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของแกนนำเสื้อแดงแฝงตัวอยู่ด้วย ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นชายเมายาที่ผสมจากเทสโตสเตอโรนและยาบ้าต่างคุยโอ้อวด รองเท้าดำ กางเกงดำและเสื้อยืดสีดำที่พวกเขาสวมใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวที่มีโลโก้ของบริษัทปืน อาทิ Glock หรือ Heckler & Koch

**ปฏิบัติการเผาทั้งเมือง

ภายหลังปฎิบัติการณ์กระชับวงล้อมของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)ในช่วงเช้าตรู่วันที่ 18 พฤษภาคม กลุ่มโจรเสื้อแดงได้ใช้วิธีการตอบโต้กลับ โดยเปิดฉาก ก่อกวน- ปลุกปั่น- วางเพลิง ตามแผนปฎิบัติการณ์ “เผาทั้งเมือง” ที่ได้เตรียมการเอาไว้อย่างดี ทั้งการจัดวางกำลังคน และการสั่งการ อย่างที่ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างประเทศ ว่าหากมีการกระชับพื้นที่ กลุ่มคนเสื้อแดงก็จะต้องเผาห้างเพื่อรักษาตัวรอด โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานคำพูดว่าพวกเขาจะบุกรุกห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายแห่งและตึกสำนักงาน เช่น บริษัทฟิลลิป มอร์ริส ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ข้ามชาติ

“กองโจรเสื้อแดง” เปิดฉากเผาเมือง จุดแรกที่ย่านพระราม 4 พร้อมทั้งมีการ จุดไฟเผายางรถยนต์เพื่อ “พรางตัว” ก่อนที่จะเริ่มต้นวางเพลิง จนเกิดไฟไหม้ลุกลามไปทั่วทำลายอาคารบ้านเรือน ธนาคาร ร้านค้าในละแวกนั้น จากนั้นเริ่มมีการยิงปะทะกันอย่างตึงเครียดที่บ่อนไก่- ราชประสงค์ -และชุมชนคลองเตยลุกฮือขึ้น ตามติดมาด้วยการ ยึดรถเมล์ เผา และมีระเบิด เอ็ม 79 ยิงถล่มทหารอย่างต่อเนื่องในแต่ละจุด ไล่ทุกจุด ทั้งแต่ สามย่าน – แยกสารสิน และความบ้าคลั่งของเดนตายแดง มาถึงจุดพีคสุดๆ เมื่อแกนนำประกาศยุติการชุมนุม ในเวลา14.00 น. โดยบุกเข้าเผาเซ็นทรัล เวิล์ด – เผาแพลตตินั่ม -เผาสยามพารากอน -และเผาโรงหนังสยาม ให้อยู่กองเพลิง

ทั้งนี้ กลุ่มโจรเสื้อแดงประกาศเป็นการเคลื่อนไหวกองโจรอย่างอิสระ เป็นขบวนการโจรก่อการร้ายเต็มรูปแบบ ได้เดินหน้าปฏิบัติการอย่างบ้าคลั่ง -ดีเดือด นอกจากนั้นกลุ่มเสื้อแดงยังปฏิบัติการ “เผาแล้วปล้น” ตั้งแต่ร้านขายของชำ เซเว่นอีเลฟเว่น ร้านเหล้า ไปจนถึงร้านเพชร โดยเฉพาะห้างเซ็นเตอร์วันย่านอนุสาวรีย์ ได้มีกลุ่มวัยรุ่นกว่า 100 คนกรูเข้าไปทุบกระจกห้าง ขโมยปล้นสิ่งของในห้างดังกล่าว พร้อมกับจุดไฟวางเพลิง ขว้างระเบิดขวด รวมถึงมีการทุบตู้เอทีเอ็มเพราะหวังเงินในตู้ด้วย
ซึ่งนับเป็นปฏิบัติการเย้ยฟ้าท้ากฎหมายอย่างอุกอาจ
“เมืองกรุง” จึงลุกเป็นไฟ เกิดมิคสัญญีทั่วเมืองลุกลามไปทั่วทุกพื้นที่
ทั้งนี้ ได้มีการสรุปเหตุ ‘เพลิงไหม้ ‘ ที่เกิดจากการเผาทำลายของกลุ่มเสื้อแดง ในกรุงเทพมหานครว่ามีทั้งสิ้นถึง 35 จุด โดย มีเพลิงไหม้ที่ธนาคาร 17 สาขา ห้างสรรพสินค้า 3 แห่ง คือ เซ็นทรัลเวิลด์ , เซ็นเตอร์วัน ย่านอนุสาวรีย์ และห้างบิ๊กซี ราชดำริ นอกจากนั้นยังมีการเผาเซเว่นอีเวฟเว่น และอาคารบ้านเรือนประชาชนด้วย

**เปลือยแผน “สึนามิ” เผาแล้วปล้น
‘เจ๊ ด.’ ส่งเดนตายลงมือ

ทั้งนี้หากส่องแผนปฎิบัติการอุกอาจเผาบ้าน ปล้นเมือง ดังกล่าว ล้วนมีที่มา ที่ไป ในการวางแผน และก่อกวนวางเพลิงอย่างมีการวางแผน อย่างมีขั้นตอนตามการปฎิบัติงานตามแผน “สึนามิ” โดยมีการเตรียมการ เตรียมคน ไว้เผาอย่างดิบดี โดยเฉพาะวัยรุ่นเลือดร้อนทั้งหลายที่ถููกเพาะเชื้อแดงเถื่อนด้วยความเกลียดชัง

โดยมีข้อมูลที่ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนว่า “มือเผา” บางกลุ่มเป็นแก๊งวัยรุ่นย่านรัชดา โดยหัวหน้าแก๊งดังกล่าวเป็นวัยรุ่นชายที่มีความใกล้ชิดกับ “วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง” ในสายคลองเตย โดยได้รับคำสั่งตรงให้ปฏิบัติการงานการเผาเป็นหลัก มีหน้าที่ “เผา-ดะ” ในทุกพื้นที่

นอกจากนี้ กลุ่มวัยรุ่น “มือเผา” บางส่วนยังมีได้รับคำสั่งสายตรงจาก “เจ๊ ด.” ที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดง โดย “เจ๊ ด.” ได้เรียกใช้วัยรุ่นกลุ่มนี้ทำงานในมุมมืดมาอย่างต่อเนื่องในช่วงระหว่างการ ชุมนุม

กลุ่มวัยรุ่นแดงดีเดือดเหล่านี้ เป็นมือเผา ที่ทำงานสายตรง โดยได้รับเลื่อนชั้นมาจากหน่วยที่เคยสังกัดการ์ด นปช. ที่ส่วนใหญ่มีสายสัมพันธ์มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน กับกลุ่มแก๊งมอเตอร์ไซค์รับจ้างส่วนใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่คลองเตย

โดยมีกระบวนการจัดตั้ง บรรดาหนุ่มฉกรรจ์ หน่วยก้านดี มีฝีมือ “เดนตาย” เหล่านี้เอาไว้อย่างพร้อมเพรียง และหน่วยนี้เตรียมตัวล่วงหน้า พร้อมเผาทุกโอกาส

นอกจากนี้ อีกหนึ่งบุคคลที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอดก็คือ “ครู ป.” ที่เคยได้รับรางวัลระดับโลกจากฟิลิปปินส์ แต่ตอนหลังติดกับดักเรื่อง “เงินทอง” ของนายใหญ่ที่ถ่ายโอนเข้ามาสู่กระเป๋าสม่ำเสมอ จนทำให้เป็นข้าทาสบริวารที่จงรักภักดี และเป็นหนึ่งในผู้จัดหาเดนนรกติดยามาป่วนบ้านป่วนเมือง

**อายัดบัญชี 151 ราย เครือข่าย ‘แม้ว’

จากการที่ ศอฉ.ประกาศขึ้นบัญชีดำบุคคลและนิติบุคคลถึง 3 รอบ รวม 151 ราย โดยสั่งห้ามมิให้ทำนิติกรรมทางการเงินเพื่อเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงที่อาจจะส่งต่อมายัง นปช.(แนวร่วมเพื่อประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) ที่ยึดย่านราชประสงค์ ศูนย์การค้าใจกลางเมือง เป็นแหล่งชุมนุมและส่องสุมอาวุธนั้น จากการตรวจสอบพบว่าบุคคลและนิติบุคคลดังกล่าวล้วนแล้วแต่มีสายสัมพันธ์โยงใย เป็นเครือข่ายของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ‘นายใหญ่ของไพร่แดง’ ซึ่งเป็นผู้บงการให้เผาบ้านเผาเมือง หากไพร่แดงพ่ายแพ้ในสงครามมวลชนโค่นรัฐในครั้งนี้

สำหรับบริษัทนิติบุคคลที่ถูกขึ้นบัญชี มี 20 บริษัท โดย พบว่าส่วนใหญ่เป็นธุรกิจในเครือชินวัตร อาทิ 1) บริษัททุนนวัตกรรม จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจลงทุนในต่างประเทศ มี น.ส.พิณทองทา กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นถือหุ้นรายใหญ่ โดยถือหุ้นคนละ 28.1% และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ถือหุ้น 18.7% 2) บริษัทประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และบริการสาธารณูปโภค ทุนจดทะเบียน 3,340 ล้านบาท มีตระกูลชิวัตรเป็นผู้ถือหุ้น โดย น.ส. น.ส.พิณทองทา กับ น.ส.แพทองธาร ถือหุ้นคนละ 49.8% ทักษิณ 0.14% และนางพจมาน 0.14% 3) บริษัทนิวโอ๊ค จำกัด ประกอบกิจการร้านถ่ายรูป She@mood ที่สยามสแควร์ มีนายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นผู้ถือหุ้น 100% 4) บริษัท เวิร์ธซัพพลายส์ จำกัด ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทุนจดทะเบียน 4,600 ล้านบาท มีครอบครัวของ นช.ทักษิณเป็นผู้ถือหุ้น โดย น.ส.พิณทองทา ถือหุ้น 51.2% นายพานมองแท้ 43.4% น.ส.แพทองธาร 3% และนางพจมาน ดามาพงศ์ 2.1%

นอกจากนั้นยังมีอีก 2 บริษัทที่เป็นของ นายชาญชัย รวยรุ่งเรือง หรือ นายเหยียน ปิน นักธุรกิจชาวจีนที่แปลงสัญชาติเป็น ไทย คือ บริษัทรวยชัย อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป บริการให้เช่าห้องพัก และบริษัทรวยชัย อินเตอร์เนชั่น กรุ๊ป จำกัด ทำธุรกิจส่งออกสินค้าเกษตร โดยนายเหยียน ปิน นั้นมีความสนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณมาตั้งแต่ตอนที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี และดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เขาเป็นนายหน้าเจรจาซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป ให้กับไชนา เทเลคอมฯ และมักอ้างว่าเขาเป็นประธานสาขาพรรคไทยรักไทย ประจำกรุงปักกิ่ง อีกทั้งมีผู้ใหญ่ของพรรคไทยรักไทยเดินทางไปมาหาสู่นายเหยียน ปิง ที่ประเทศจีนเป็นประจำ แม้กระทั่งกระทรวงต่างประเทศยังต้องย้ายแผนกวีซ่าจากเดิมที่อยู่ในอาคารสถาน เอกอัคราชทูตไทย ในกรุงปักกิ่ง ไปอยู่ในตึกของนายเหยียนปินโดยต้องจ่ายค่าเช่าปีละนับสิบล้านบาท

**ใบหยก-ป.ประตูน้ำ-เจ๊เกียว มีเอี่ยวด้วย

ขณะที่บุคคลที่ถูกขึ้นบัญชีมีนั้นมี 131 ราย ซึ่งก็เป็นเครือข่ายคนใกล้ชิดของ นช.ทักษิณ เช่นกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

1)กลุ่มตระกูลชินวัตรและคนใกล้ชิดของ นช.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เช่น ทักษิณ ชินวัตร ,พจมาน ดามาพงศ์ , นางกาญจนภา หงษ์เหิน อดีตเลขานุการคุณหญิงพจมาน์ , นายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช เป็นคนถือเงินของตระกูลชินวัตร ได้รับมอบหมายจากทักษิณให้ดูแลเรื่องเงินทองและค่าใช้จ่ายของ ส.ส.ในพรรค ตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นพรรคไทยรักไทยมาจนถึงพรรคเพื่อไทย โดยในการชุมนุมเสื้อแดงครั้งนี้สาโรจน์มาปรากฎตัวที่หลังเวทีเกือบทุกวัน

2)กลุ่ม นปช. อาทิ ณัฐวุฒิใสเกื้อ, วีระ มุสิกพงศ์ ,จตุพร พรหมพันธุ์

3)กลุ่มนักการเมือง 40 คน เช่น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ , สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ , พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล , การุณ โหสกุล , พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ,ปลอดประสพ สุรัสวดี

4)กลุ่มข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ ที่มีความใกล้ชิดทักษิณ เช่น พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี , พล.ท.พฤณฑ์ สุวรรณทัต ,พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง

5)กลุ่มนักธุรกิจ อาทิ- นายพันธ์เลิศ ใบหยก ประธานกรรมการโรงแรมเครือใบหยก และเจ้าของโครงการอาคารพาณิชย์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย ใบหยก 1 และใบหยก 2 นอกจากนั้นยังมีธุรกิจอีกหลายย่าง เช่น กิจการโรงน้ำแข็งที่ระนอง กิจการโรงเก็บของที่ถนนตก เขาเคยเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย และดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรค แต่ลาออกก่อนที่จะมีคำสั่งยุบพรรค จึงไม่ได้เป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111

– นายสมหวัง อัสราศี ประธานบริษัท สแกนเนอร์ อิเลคทริค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อมิตซูชิต้า นักธุรกิจที่เปิดตัวชัดเจนว่าเป็นสปอนเซอร์ที่ให้การสนับสนุนกลุ่มเสื้อแดง และยังเคยเป็นพิธีกรเสริมในรายการ ‘ความจริงวันนี้’ ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวี ‘ดี-สเตชั่น’ อีกด้วย

– นาย สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ เจ้าของห้างอิมพีเรียล ซึ่งใช้เป็นสถานีของพีทีวี เคเบิ้ลทีวีของคนเสื้อแดง อีกทั้งเขายังเป็น ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นทุนหลักในการเคลื่อนไหวของกลุ่มปากน้ำ และนำผู้ใช้แรงงานในพื้นที่สมุทรปราการมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง

– นายไพจิตร ธรรมโรจน์พินิจ หรือ ‘ปอ ประตูน้ำ’ เจ้าของบ่อนชื่อดังย่านประตูน้ำ มีความสนิทสนมกับเสธ.แดง ถึงขั้นที่เสธ.แดงออกโรงปกป้องตอนที่บ่อน ป.ประตูน้ำถูกบุกจับ โดยออกมาสัมภาษณ์โจมตี พล.ต.อ.เสีรีพิสุจน์ เตมียเวช จเรตำรวจในขณะนั้นซึ่งเป็นผู้สั่งให้ชุดเฉพาะกิจบุกจับบ่อนดังกล่าว จนถูก พล.ต.เสรีพิสุจน์ฟ้องหมิ่นประมาทและเป็นศรัตรูกันมานับแต่นั้น

– นางสุจินดา เชิดชัย หรือ ‘เจ๊เกียว’ เจ้าของเชิดชัยทัวร์ นักธุรกิจใหญ่ในโคราชที่ประกาศตัวว่าหนุนทักษิณอย่างเต็มที่ นอกจากจะเป็นทุนใหญ่ในสายอีสานแล้วยังส่ง อัสนี เชิดชัย ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เข้าเป็น ส.ส.สัดส่วนของพรรคเพื่อไทยด้วย ว่ากันว่าเสื้อแดงโคราชที่ใช้ชื่อว่ากลุ่มรักประชาธิปไตยโคราช ซึ่งมีนางปภัชนัญญ์ ฉิ่งอินทร์ เป็นแกนนำนั้น ก็อยู่ภายใต้การดูแลของเจ๊เกียว

-นายไพวงษ์ เตชะณรงค์ เจ้าของโบนันซ่าเขาใหญ่ นักธุรกิจการเมืองที่มีสายสัมพันธ์กับนักการเมืองใหญ่หลายคน

-นายประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าของเนสกาแฟ ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับทักษิณมาอย่างยาวนาน

**เปิดเส้นทางท่อน้ำเลี้ยง

ทั้งนี้ นอกจากกลุ่มทุนที่ช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนไหวของม็อบไพร่แดงแล้ว คนที่จ่ายหนักที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘นายใหญ่แห่งดูไบ’ ซึ่งจากข่าวของฝ่ายความมั่นคง ระบุว่า ท่อน้ำเลี้ยงที่ นช.ทักษิณ ต่อสายมาให้บรรดาแกนนำ นปช.และเครือข่ายนำไปใช้ในการเคลื่อนไหวในการชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองครั้งนี้ มี 3 ระบบ ด้วยกัน คือ 1.ใช้ระบบเครดิต คือให้แกนนำสำรองจ่ายไปก่อน แล้วค่อยนำบิลเบิกทีหลัง 2 .ระบบเงินเสิร์ฟ คือโอนเงินสดหรือเช็คผ่านบัญชีธนาคารมายังแกนนำ โดยทำทีว่าเป็นเงินที่ได้จากการทำธุรกิจ แต่จริงๆแล้วเป็นการฟอกเงิน และ 3.ให้คนถือเงินสดมาให้แกนนำ

“ ระบบ เงินเสิร์ฟ มันก็คือการฟอกเงินอย่างหนึ่ง อย่างเช่น เมื่อเร็วๆนี้ก็มีการว่าจ้างให้ พันตำรวจเอก ส. ทำงานรับเหมาก่อสร้าง ในราคาที่สูงเกินจริง เพื่อให้ พันตำรวจเอก ส.นำเงินมาจ่ายให้กับกองกำลังติดอาวุธ หรืออีกเคสหนึ่งเครือข่ายของคุณทักษิณเขาก็ไปซื้อขายหุ้นเบียร์ ช้างในตลาด หลักทรัพย์สิงคโปร์ ก็ซื้อขายกันในลักษณะปกติ แต่คนซื้อกับคนขายเขารู้กัน ตั้งราคาซื้อขายสูงเกิน เพื่อให้เกิดกำไรส่วนต่างเยอะๆ แล้วก็เอาเงินมาจ้างคนมาชุมนุม

6)ส่วนการถือเงินสดมาจ่ายให้แกนนำก็จะมีทั้งทำในลักษณะกองทัพมด คือให้ลิ่วล้อขนเงินจากบ่อนชายแดนเขมรมาส่งให้ ซึ่งวิธีนี้จะขนเข้ามาได้ครั้งละไม่มาก ครั้งละไม่กี่ล้าน แต่ขนเข้ามาบ่อยครั้ง หรืออีกวิธีก็คือคุณทักษิณโอนให้เครือข่ายที่อยู่ในเมืองไทย แล้วให้เครือข่ายถือเงินสดมาให้แกนนำ ” แหล่งข่าวด้านความมั่นคง เปิดเผยถึงเส้นทางการเงินที่กลุ่มเสื้อแดงนำมาใช้เคลื่อนไหวในการชุมนุม

**“เครือมติชน-สื่อ”แนวร่วมผสมโรงบิดเบือน

น่าเศร้าสลดใจเป็นอย่างยิ่งหากจะระบุว่าความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ความเดือดร้อนลุกลามไปทุกหย่อมหญ้าอยู่ในวันนี้ ส่วนสำคัญปฏิเสธไม่ได้ก็คือมี “สื่อ” ร่วมผสมโรงทำให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงเพิ่มดีกรีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆและ ในที่สุดก็พัฒนากลายเป็นการ “ก่อการร้าย” เต็มรูปแบบ

น่าเสียใจก็คือสื่อในเครือ “มติชน” ซึ่งหมายรวมถึง หนังสือพิมพ์ข่าวสด ประชาชาติธุรกิจ ต่างพร้อมใจกันเสนอข่าวและภาพ สนับสนุนหรือแสดงความเห็นอกเห็นใจกลุ่มคนเสื้อแดง โดยมีการนำเสนอออกมาในลักษณะที่ว่านี่คือการชุมนุมโดยสงบสันติ เป็นการแสดงออกตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ

ไม่น่าเชื่อว่าสื่อที่ชอบเรียกตัวเองว่า “สื่อคุณภาพ” จะไร้เดียงสาถึงขนาดมองไม่ออกเลยหรือว่าการชุมนุมของกลุ่มคนพวกนี้มีวิธีการ และเป้าหมายอย่างไร ขณะเดียวกันหากพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่น่าเป็นไปได้แล้วก็ต้องมาประเมินกันว่า นี่คือความ “จงใจ” เป็น “แนวร่วม” ด้านสื่อเพื่อสร้างความสับสนบิดเบือน หรือทำให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงมีความชอบธรรม

น่าสังเกตก็คือลักษณะการนำเสนอของสื่อลักษณะแบบนี้ในเครือดังกล่าวได้ดำเนิน มาอย่างต่อเนื่อง หากยังจำกันได้ในช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตยเพื่อต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” ตั้งแต่ปี 2548 มาจนถึงปี 2551 สื่อดังกล่าวได้มีการบิดเบือน “ใส่ร้าย” อย่างไม่น่าให้อภัย โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ข่าวสดฉบับวันที่ 9 ตุลาคม 2551ได้ลงภาพข่าวใส่ร้าย “ตี๋ชิงชัย” หรือ ชิงชัย อุดมเจริญกิจว่า “กำระเบิด” ขณะที่ตำรวจสลายการชุมนุมในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 51ทั้งที่มีการพิสูจน์แล้วว่าเป็นแค่พวงกุญแจ รวมไปถึงกรณีบิดเบือนอื่นๆ

หากย้อนกลับไปพิจารณากรณี มติชนสุดสัปดาห์ 16 มิถุนายน 2549 ในยุคของ เสถียร จันทิมาธร ยังกุมบังเหียนได้เสนอรายงาน “พิเศษ” หยิบยกเอากรณีการโค่นล้ม “ราชวงศ์เนปาล” มาเป็นกรณีศึกษา ซึ่ง เสถียรก็คือ “สหายดวง” อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ที่มีความสนิทสนมกับ “สหายแพง”หรือ “สหายแผ้ว” ที่ปัจจุบันคือ จรัล ดิษฐาอภิชัย รวมทั้ง “สหายสุภาพ” จาตุรนต์ ฉายแสง นั่นแหละ และ นายเสถียร คนเดียวกันนี่แหละที่ ทักษิณ ชินวัตร ขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรีเคยเอ่ยปากชมว่ามีมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์อย่าง เฉียบคมโดยเฉพาะชื่นชอบงานเขียนคอลัมน์ในหน้า 3 ของมติชนรายวันระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2549

ล่าสุดเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา “เครือมติชน” ยังได้แสดงท่าทีเรียกร้องให้ทุกฝ่ายคือฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มแกนนำเสื้อแดงรวม ไปถึงองค์กรต่างๆในสังคมหาวิธีการเพื่อให้มีการหันหน้ามาเจรจาปรองดองกัน โดยมีหัวข้อ “หยุดฆ่าทันที” ซึ่งหากมองผิวเผินนี่คือเจตนาดีที่ต้องการให้เกิดสันติไม่ใช้ความรุนแรงให้ เกิดความสูญเสียต่อไปอีก แต่ถ้าพิจารณาอย่างเข้าใจแล้วนี่คือเจตนาที่ต้องการดิสเครดิสฝ่ายทหารและ รัฐบาลไม่ให้ปราบปรามผู้ก่อการร้ายซึ่งอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง ขณะเดียวกันในข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าเมื่อคนกลุ่มนี้เป็นผู้ก่อการร้าย แล้วจะไปเจรจาปรองดองทำไม

ท่าทีดังกล่าวที่บอกว่า “ต้องหยุดฆ่าทันที” นั้นที่เหมาะสมก็คือเครือมติชน “ต้องหยุดบิดเบือนทันที” มากกว่า !!

นอกจากนี้ในการเคลื่อนไหวก่อการร้ายของคนเสื้อแดงในครั้งนอกจากมี เครือมติชนที่มีบทบาทในลักษณะเป็นแนวร่วมแล้วยังมีสื่ออื่นๆที่เข้าข่าย เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสื่อ “ไทยรัฐ” หรือแม้แต่ ไทยทีวีสีช่อง 3 ที่เจ้าของเป็นอดีตกลุ่มทุนที่เคยสนับสนุนพรรคไทยรักไทย แต่กรณีหลังเกิดการ “ผิดคิว”อย่างไรไม่อาจทราบได้เพราะถูกคนเสื้อแดงบุกเผาและพนักงานหนีตายกัน โกลาหล !!

และทั้งหมดนั้นคือแนวร่วมของขบวนการเสื้อแดงที่เปิดเผยตัวตนมาให้เห็นกัน เรียบร้อยแล้ว

ที่มา

oknation.net/blog/psw2548/2010/05/22/entry-1

แค้นต้องชำระ – ปรองดองก็ต้องทำ

สวัสดีนักรบไซเบ่อร์และผู้รักชาติทุกท่าน,

ผมขอยอมรับว่าตั้งแต่รัฐบาลเริ่มเข้าทำการสลายการชุมนุมของสมุนไอ้แม้ว จนมาถึงระหว่างการเผาบ้า่นเผาเมืองตามแผนของไอ้แม้ว ผมเสียศูยน์ไปเยอะ เพราะมันเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ความโกรธ ความผิดหวัง เพราะฉะนั้นเรื่องราวต่างๆก็จะออกมาสะเปะสะปะ  พอมาวันสองวันนี้เหตุการณ์เริ่มสงบลงใจก็เริ่มสงบลง หันกลับมาคิดว่าเราจะต่อสู้กับกลุ่มของไอ้แม้วที่ทำสงครามข่าวสารอย่างเป็นขบวนการอย่างไร

ก่อนอื่นผมขอบอกว่าเรื่องความแค้นนั้นต้องชำระ สิ่งที่ไอ้แม้วและลูกสมุนมันทำต่อพี่น้องไทยนั้น มันสุดระยำ ผมไม่ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ที่จะออกมาบอกว่า “อโหสิ” เถอะ  ผมจะอโหสิก็ต่อเมื่อ เห็นธุระกิจของไอ้แม้วย่อยยับไปเห็นๆก่อน

แต่วิธีการที่เราจะแก้แค้นนั้นต้องทำด้วยสันติวิธี ทำอย่างปัญญาชน สิ่งที่ผมรณรงค์มาตลอดเวลาคือการคว่ำบาตรธุรกิจของมัน และทำง่ายที่สุด คือการยกเลิกการใช้โทรศัพท์มือถือของ เอ ไอ เอส หรือ 1-2- call เพราะเป็นอิสสระภาพของเราที่จะเลือกใช้บริการของใครก็ได้ เพราะเป็นการค้าเสรี

ผมได้ทำการสำรวจประชามติของผู่คนไปกว่าสองร้อยคน ว่าท่านใช้ เลิกใช้โทรศัพท์มือถือของเอไอเอสหรือยัง  มีข้อมูลที่น่าสนใจต่อไปนี้

  1. ไม่ได้ใช้มานานแล้ว                                                    51 %
  2. เลิกใช้ตั้งแต่มันทำลายชาติ                                     20 %
  3. อยากเลิกใช้แต่เสียดายเบอร์เก่า                            22 %
  4. อยากเลิกแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร                                   3 %
  5. จะรีบไปเลิกโดยด่วน                                                    3 %
  6. ยังไงก็ไม่เลิก                                                                   1%

ท่านอ่านผลการโหวตแล้ว ถ้ายังไม่ได้โหวตก็เชิญโหวตเพิ่มเติมได้เลบ

อันดับแรกของการชำระความแค้น

ท่านผูู้เป็นเจ้าของธุรกิจในย่าน ราชประสงค์ ประตูน้ำ อนุเสาวรีย์ สยามแสควร์ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ที่ถูกเผา ทำลายเสียหาย  ถ้าท่านหรือลูกหลานของท่าน ใช้โทรศัพท์ เอ ไอ เอส หรือ วัน ทู คอลล์ อยู่ ให้รีบไปยกเลิกการใช้ทันที เพราะกำไรที่มันได้จากท่าน มันเอามาใช้จ่ายในการทำรายท่าน  ค่าโทรศํพท์ที่ท่านจ่ายอยู่เดือนละ 1000-2000 บาทต่อเดือน หรือเท่ากับ 12,000-24,000 บาทต่อปี หากพวกท่านที่เสียหายไปยกเลิกันสักหนึ่งพันราย ไอ้แม้วก็จะขาดรายได้ไปปีละประมาณ 12-24 ล้านบาทต่อปี หากมีผู้ไปยกเลิกสักห้าพันราย มันจะขาดรายได้ไป ปีละ 60-120 ล้านบาท ไม่น้อยใช่ไม๊ครับ

อันดับที่สองของการชำระความแค้น

พอท่านแก้ปัญหาในการทำธุรกิจของท่านไปได้บ้าง อะไรอะไรเริ่มเข้าที่เข้าทาง ขอให้ท่านช่วยรณรงค์พรรคพวก ญาติมิตร เพื่อนฝูง ของท่านที่ใช้โทรศัพท์มือถือของไอ้แม้ว อีก สิบคนไปยกเลิกการใช้ ก็จะทำให้ธุรกิจมันกระเทือนมากขึ้น

วิธีการอย่างนี้จะทำใหธุรกิจของมันเจ้งได้  โปรดนึกถึงคำพังเพยที่ว่า “ปลาใหญ่ต้องอยู่บ่อน้ำลึก” เพราะฉะนั้นเมื่อน้ำในบ่อมันเริ่มน้อยลง ปลาใหญ่ก็จะออ่นแอลง

อันดับที่สามของการชำระความแค้น

อันดับต่อไปเวลาท่านทำธุรกิจ ซื้อของบริโภค ฯลฯ อย่าไปอุดหนุนซื้อของกับกลุ่มธุรกิจของมัดังนำมาแสดงไว้ตามรูปข้างล่างนี้ มันอาจจะไม่สะดวกบ้าง แต่ขอให้ท่านนึกถึงชีวิตของท่านในวันนี้ ท่านต้องสอนบทเรียนให้พวกมัน เพื่อไม่ให้รักธุรกิจอื่นๆเอาอย่างมันต่อไป

+

โปรดจำไว้ว่าสงครามนี้ยังไม่สงบ มันจะประทุขึ้นมา

ใหม่ได้ตลอดเวลา


ข้อเสนอการแก้ปัญหาความไม่สะดวกในการยกเลิก

AIS

วันนี้มีท่านผู้ใช้มือถือ เอ ไอ เอส ที่ไปยกเลิกการใช้มา แล้วมาเล่าวิธีการแก้ปัญหาเรื่อง คนที่ไม่รู้เบอร์ใหม่จะติดต่อมาไม่ได้ ท่านเล่าวิธีการของเธอมาและขอให้ผมช่วยเผยแพร่ให้ท่านอื่นๆนำไปพิจารณาเพื่อ จะได้ตัดสินใจได้

  1. ท่านไปซื้อเบอร์ใหม่ของค่าย DTAC จากนั้นท่านก็ถอดซิมเครื่องเก่าของเอ ไอ เอส ให้ DTAC เพื่อ DTAC จะได้ส่งSMSไปยังทุกเบอร์ในซิมว่าท่านได้เปลี่ยนเบอร์ใหม่เป็นเบอร์ XXXXXXX แล้ว
  2. จากนั้นก็เอาซิมใหม่ใส่ในเครื่องเก่า (พอดีเครื่องที่ท่านใช้อยู่นั้นเป็นเครื่องราคาแพง)
  3. ท่านไปหาซื้อเครื่องมือสอง ราคาแค่500 บาทมา แล้วเอาซิม AIS มาใส่เอาไว้รับคนที่ยังโทรมาเบอร์เก่าและบอกให้ติดต่อมาที่เบอร์ใหม่ จากที่ท่านเคยจ่ายให้AIS เดิอนละ 2-3000 บาท ท่านก็เหลือแค่การรักษาเบอร์ไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น
  4. ท่านกะว่าจะเก็บซิม AIS ไว้ซักสองสามเดือน เมื่อไม่มีใครติดต่อมาที่เบอร์เก่าแล้วท่านก็จะไปยกเลิก เครื่อง เอ ไอ เอส ไปเลย

วิธีที่ท่านเล่ามานับว่าท่านใจถึงมาก ยอมจ่ายค่าเครื่องมือสองไป 500 บาท เพื่อใช้งานแค่ 2-3 เดือน และยังจ่ายค่ารักษาเบอร์อีก 2-3 เดือน เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงไอ้แม้ว ท่านบอกว่ารายจ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้ ท่านยอมสละเพื่อชาติ

ผมขอปรบมือให้ท่าน และท่านอื่นๆจะใช้วิธีนี้ก็ได้ หรือถ้าเครื่องที่ท่านใช้อยู่ในปัจจุบันมันเก่ามากแล้ว ท่านอาจจะซื้อเครื่องใหม่แบบใส่ได้สองซิมไปเลยก็ได้ ลองพิจารณากันเองนะครับ

อ่านแล้วช่วยกันส่งต่อให้เพื่อนๆอีก 50 คนด้วยนะครับ เราต้องรีบรวมพลไปแสดงพลังกันให้มากๆ ไอ้แม้วมันกำลังสติแตก มันจะได้กระอักเลือดตายไปเร็วๆแบบจิวยี่

ดูแผนการก่อการร้ายของไอ้แม้ว

ขอเชิญท่านแสดงประชามติในการควำ่่บาตรโทรศัพท์ AIS, 1-2-Call

ระวัง!! ทักษิณกำลังท้าทายรัฐบาล

ทักษิณให้สัมภาษสำนักข่าวต่างประเทศ ทางโทาศัพท์ เมื่อวันที่ 2 พค 53 ว่าหากรัฐบาลปราบผู้ชุมนุมเสื้อแดงลงเมื่อไร พวกเสื้อแดงจะกลายพันธ์เป็นผู้ก่อการร้ายทันที อ่านรายละเอียดการสัมภาษแบบคำต่อคำได้ตามแนบ

Former Thai PM Thaksin throws down the gauntlet to government

Emerging Markets – 2nd May 2010

By Liz Chong and Taimur Ahmad

Thailand’s exiled former prime minister Thaksin Shinawatra broke a six-month silence this weekend,

and claimed he may return to Bangkok this year, in an exclusive interview with Emerging Markets.

Speaking by telephone, Thaksin warned the government that it was on its last legs, and that further

crackdowns on anti-government red shirt protestors – many of whom remain loyal to him – would backfire.

“They want to crack down on the people, but there are a million red shirts”, he said. “The only way

forward is to reconcile, but if they want to kill red shirts there are too many. Do they want to kill millions?

The red shirts are everywhere.”

Thaksin said the government had run out of options, and should relinquish power or face a mass uprising

that could envelop the entire country.

In an earlier interview with Emerging Markets, conducted face to face at his Dubai home last month,

Thaksin said: “This is their last chance if they want to reconcile.

That “can happen easily” if parliament is dissolved, but “if [the government] cracks down this time,

the red shirt movement will get much bigger. When the first line of leaders has been arrested, there

will be a second line and third line.”

He downplayed his own role, saying: “This is not about me. I’ve been a very small part of the movement.”

But he admitted advising red shirts “during peak times like this, maybe one or two hours [a day].

They call me for advice because many of them are my supporters.”

Asked if he could return to Thailand within three months, Thaksin replied: “I don’t know. Hard to say,

but I think it is possible this year.”

The prolonged and increasingly deadly standoff between the government and red shirt protestors

deteriorated again this weekend.

On Friday crowds stormed the Chulalongkorn hospital in search of soldiers believed to be hiding there,

following violent clashes with the army that have led to 27 deaths and almost 1000 injuries.

Red shirts are demanding the resignation of prime minister Abhisit Vejjajiva, saying he seized power illegally.

Last week they backed off an earlier demand for parliament to be dissolved immediately, and offered

to end their demonstration in return for early elections. This was rejected by Abhisit.

The Thai cabinet is meeting this morning in special session to discuss the crisis, government spokesman

Panithan Wattanayagorn said yesterday, according to wire reports.

Rumours have circulated of Thaksin’s death, but the billionaire businessman confirmed this weekend

that he is alive and well. He quipped: “They say that I am dead already. I am speaking to you from heaven:

the reception here is good.”

Thai finance minister Korn Chatikavanij argued that Thaksin bore responsibility for the depth of the

conflict in an interview with Emerging Markets this weekend. The rift between government and opposition

“is deep and it is made deeper, frankly, by Thaksin,” he said.

“He needs the rift in order to use [it] as leverage to try to blackmail the country into giving him what he

wants. It’s a challenge for democracy and a democratic government to fight someone who’s willing to

use unconstitutional methods.

Korn dismissed Thaksin’s calls for reconciliation as false. “Reconciliation for Thaksin is that his money

and power are given back to him which frankly speaking is not going to happen.”

Korn, who is seen by some as a potential contender for prime minister, said the government was keen

to negotiate a settlement with the red shirts. “Most importantly the rule of law needs to be respected.

The easiest way is for Thaksin is to acknowledge that he broke the law, and when you break the law

he [sic] has to pay the consequences.

“He is welcome to come back anytime,” Korn said. “If he comes back he has to serve his time in jail.”

Thaksin faces a two-year jail sentence in Thailand on corruption charges, which he dismisses as politically

motivated. He was ousted in 2006 after winning a second term as prime minister.

เพราะนี่คือหลักฐานอันสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า ทักษิณอยู่เบื้องหลังความฉิบหายของประเทศไทย ทั้งหมด ขอให้พวกเราผู้รักชาติทั้งหลายลุกขึ้นมาต่อสู้โดยด่วน ก่อนที่จะสายไป อย่างที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

ขอเชิญท่านแสดงประชามติในการควำ่่บาตรโทรศัพท์ AIS, 1-2-Call

ระดมพลไปยกเลิก 1-2-คอลล์

ระหว่างที่รอผลการโหวตว่าจะไปเผาบ้านแกนนำเสื้อแดงดีไม๊?  ซึ่งคาดว่าคงจะต้องใช้เวลาหน่อย เพราะผมเปิดการโหวตมาสองวัน มีคนเข้ามาโหวตแค่สองร้อยคนเท่านั้น ทั้งๆที่ในแต่ละวันมีคนเข้ามาเยี่ยมชมบล็อกโดยเฉลี่ย เกินพันครั้งขึ้นไป ถ้าเป็นแบบนี้คงใช้เวลาเป็นเดือน อาจะมีผู้อ่านอีกจำนวนมากไม่อยากเห็นความรุนแรง

ในขณะเดียวกันการก่อการร้ายของลูกจ้างไอ้แม้วก็รุนแรงมากขึ้นทุกที ประเทศชาติก็ฉิบหายมากขึ้นทุกที

เพื่อให้ทราบความเห็นของผู้อ่านอีกกลุ่มหนึ่ง ผมขอเปิดการโหวตแบบสันติ อหิงสา ไม่ใช้ความรุนแรง ที่แท้จริง ไม่ใช่อย่างที่ไอ้ฝายแดงมันอ้าง

ผมอยากจะให้ท่านโหวต แสดงความคิดเห็นว่าท่านคิดอย่างไรกับการไปคว่ำบาตรยกเลิกการใช้โทรศัพท์มือถือของค่ายไอ้แม้ว ที่ทุ่มทุนทำลายประเทศไทย

ขอเชิญโหวตได้ครับ

เมื่อโหวตแล้ว ขอเชิญออกไปยกเลิกโดยด่วนเลยครับ ช่วยกันตัดท่อน้ำเลี้ยงโดยด่วน รัฐบาลเพิ่งตื่นมาควบคุมบัญชีธนาคารของกลุ่มทักษิณ

อยากให้ทหารยิงเด็ดพวง…มันเหลือเกิน ทุเรศ

สงสัยมันมีปัญญาคิดแค่นี้

.

*

*

*

ประเทศไทยไม่ดี ทำไมไม่ไปอยู่ประเทศอื่น

ผมฟังคำพูดดีๆของคุณพงษ์พัฒแล้วต้องขอปรบมือให้ ดัง ดัง  เป็นเรื่องที่ถูกต้องมากๆ ถ้าเมืองไทยไม่ดี ก็ออกไปอยู่ประเทศอื่นได้ ไม่มีใครห้าม ประเทศไทยนั้นมีมาก่อน ปู่ ของปู่ ของปู่ เราเกิดด้วยซ้ำไป ถ้ามันไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้ามันไม่ดี ออกไปซิ ออกไปอยู่เขมร พม่า ลาว เวียดนาม อาฟาริกา หรือไม่ก็เมืองนรก ใครขอให้มึ.มาทนอยู่ ผมขอนำคลิบของคุณพงศ์พัฒมาให้ทุกท่านดูอีกครั้ง

.

.

ประเทศไทยเป็นของกู ของพ่อกู ของปู่กู กูจะปกป้องจากไอ้พวกจัญไร

  • ปฎิทิน

    • พฤษภาคม 2024
      จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
       12345
      6789101112
      13141516171819
      20212223242526
      2728293031  
  • ค้นหา